วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความสุขและกำลังใจของครู

"ครูขาเมื่อกี้ครูไปไหนมาคะ ลูกคิดถึ้ง คืดถึง" นันดิณีฉอเลาะครูด้วยเสียงออดอ้อนเพราะชั่วโมงที่ผ่านมาดิฉันหายไปจากห้องคือชั่วโมงของครูท่านอื่น ดิฉันยิ้มและตอบเด็กว่า "ครูไปฉีดวัคซีน 2009 มาค่ะ ทางโรงพยาบาลเขาแจ้งมาให้ครูไปฉีดทุกคนเลยจ้ะ" ภัทรจิราวดีรีบเยี่ยมหน้ามาอ้อนด้วยเสียงหวานๆว่า "ดีสิค่ะครูขาแม่บอกว่าฉีดวัคซีนจะทำให้แข็งแรง ครูจะได้ไม่ตายเร็ว ครูจะได้อยู่กับลูกนานๆ ลูกรักครูค่ะ" ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคอย่างนี้ดิฉันรู้สึกตื้นตันน้ำตาเอ่อเบ้าตาตลอดเวลา ความบริสุทธิ์ใจและความไร้เดียงสาของพวกเขาคือกำลังใจที่ทำให้ดิฉันคิดสู้และอยากเป็นครูอยู่จนตราบจนเท่าทุกวันนี้ มีพี่ๆหลายๆคนเคยถามดิฉันว่า "ทำไมองุ่นจึงกอดเด็กได้ทุกคนทั้งๆที่เด็กบางคนเหม็นคาวและมีน้ำมูกน้ำตาไหลตลอดเวลา" ดิฉันตอบพี่ๆเขาไปว่า "ถ้าดิฉันรักที่จะให้เด็กกอดแล้วดิฉันต้องกอดเด็กให้ได้ทุกคนโดยไม่มีการยกเว้น"ปกตินิสัยของดิฉันก็คือไม่ว่าลูกใครห้องไหนก็สามารถกอดดิฉันได้ตลอดเวลาทุกครั้งที่กอดดิฉันไม่เคยลืมที่จะส่งผ่านความรักความเมตตาไปให้เด็กทุกๆคน ดิฉันรู้ว่าเด็กๆก็สามารถรับความรู้สึกนั้นได้เฉกเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ดิฉันลงปอหนึ่งทุกวันดิฉันจะได้รับฟังประโยคที่ชื่นใจอยู่ตลอดเวลา วันก่อนเหมามายืนใกล้ๆดิฉันแล้วจ้องมองหน้าดิฉันด้วยสายตาละห้อยพร้อมทั้งพูดว่า "ครูครับครูจะตายไหมครับ" ดิฉันสบตาเด็กแล้วยิ้มให้ ดิฉันถามต่อไปว่า"ทำไมล่ะจ้ะลูก" "ลูกฝันไปว่าครูโดนฆ่าตายลูกตื่นมาร้องไห้ลูกบอกแม่ว่าลูกไม่อยากให้ครูตายลูกรักครูครับ"ดิฉันฟังแล้วรู้สึกสะอึกและซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ถัดมาอีกวันดิฉันคุยกับครูบางท่านแล้วเกิดโต้เถียงกันนิดหน่อยเด็กนั่งจ้องมองอย่างเขม็งเมื่อครูท่านนั้นเดินจากไปเด็กสองสามคนวิ่งมาที่โต๊ะดิฉันอย่างรวดเร็วแล้วพูดกับดิฉันว่า"ครูครับลูกไม่ชอบครูเมื่อกี้เลยเขาว่าครูทำไมครับ ถ้าเขาทำอะไรครูลูกจะช่วยครูครับ ครูไม่ต้องกลัวนะ" "ลูกก็ไม่ชอบเขาค่ะครูต่อไปลูกจะไม่ทักครูคนนั้นอีกแล้ว" ดิฉันต้องรีบอธิบายให้ลูกๆฟังว่าครูไม่ได้ทะเลาะกันแค่พูดกันเสียงดังนิดหน่อยเหมือนลูกเวลาคุยกับเพื่อนๆไงค่ะเด็กๆเลยเข้าใจและกลับไปนั่งยังที่เดิม ทุกวันศุกร์ดิฉันจะได้เห็นถึงความรักและไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยๆ ประโยคที่พวกเขามักจะพูดกับดิฉันคือ "ครูขาลูกไม่อยากให้มีวันศุกร์เลย ลูกอยากมาโรงเรียนทุกวัน ลูกจะได้เจอครู ลูกรักครูค่ะ" ทั้งผู้หญิงผู้ชายพยายามพร่ำเวียนมาบอกเล่าความรู้สึกให้ครูอย่างดิฉันฟังจนดิฉันรู้สึกอิ่มกับความรักที่เด็กๆคอยเติมเต็มให้ตลอดเวลา นี่คือความรักและความจริงใจที่เงินกี่หมื่นกี่พันล้านก็ไม่อาจจะหาซื้อได้ สิ่งที่จะแลกซื้อกับเขาได้ก็คือความรักและความปรารถนาดีที่ครูมีให้ด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง

ลองของ

วันแรกของการเปิดภาคเรียน ลูกศิษย์ตัวน้อยๆของดิฉันนั่งกันหน้าสลอน หน้าตาบางคนเขรอะด้วยน้ำตาและขี้มูกไหลเป็นทาง "กูไม่เรียน กูไม่เรียน กูจะกลับบ้าน" เด็กผู้ชายร่างโตคนหนึ่งแผดเสียงร้องขึ้นสุดเสียงหน้าห้องเรียน ดิฉันชะโงกหน้าออกไปมองเห็นผู้หญิงร่างอ้วนป้อมคนหนึ่งฉุดกระชากลากถูเด็กผู้ชายคนนั้นพร้อมทั้งสะบัดมือจากการเกาะกุมของเด็กตัวน้อย เด็กผู้ชายคนนั้นรีบวิ่งไปเหนี่ยวรั้งแขนแม่ทุกคราครั้งที่แม่สะบัด สักพักหนึ่งดิฉันเห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งคงสนิทกันกับแม่เด็กมาดึงตัวเด็กไว้แล้วแม่ของเด็กคนนั้นก็รีบวิ่งไปสตาร์ทรถจักยานยนต์บึ่งออกไปทันที ดิฉันรีบวิ่งเข้าไปช่วยผู้หญิงคนที่ดึงเด็กไว้เพราะเธอตัวเล็กต้านแรงเด็กไม่อยู่ ดิฉันเข้าไปกอดเด็กเต็มตัวน้ำมูกน้ำตาเด็กไหลเป็นทางเลอะเสื้อและกระโปรงดิฉันทั้งตัว ดิฉันก้มหน้าลงไปพูดกับเด็กว่า "อยู่กับครูนะลูก ไม่ต้องร้องครูไม่ทิ้งหนูหรอก" คำตอบที่ได้รับคือเสียงกรีดร้องสุดเสียงและตะโกนใส่หน้าดิฉันว่า "กูไม่เรียน กูไม่อยู่กับมึง" ดิฉันพูดกับเด็กอีกครั้งว่า "ไปเข้าห้องเรียนกับครูนะลูก"เด็กหันมาตวาดใส่ดิฉันอีกด้วยเสียงอันดังว่า"กูไม่ไป กูไม่เรียน" ดิฉันพยายามประคองเด็กไม่ให้ห่างกายเพราะผู้หญิงอีกคนปล่อยมือจากเด็กและจะทยอยกลับบ้านเหมือนผู้ปกครองคนอื่นๆ เด็กผู้หญิง4-5 คนเริ่มร้องไห้ตามผู้ปกครอง ดิฉันพยายามต้อนเด็กเหล่านั้นให้มาอยู่ใกล้ๆและชวนพูดคุยจนเด็กเหล่านั้นเริ่มสงบและมีปฏิกริยาตอบรับในทางที่ดียกเว้นเด็กผู้ชายที่ชื่อณัฐวุฒิที่ยังคงกรีดร้องอยู่ตลอดเวลา เสียงออดดังขึ้น ดิฉันพานักเรียนทั้งชั้นไปเข้าแถวพร้อมเพรียงกันพร้อมทั้งณัฐวุฒิซึ่งเดินกรีดร้องและดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขนของดิฉัน สักพักหนึ่งเมื่อนักเรียนพันกว่าคนเริ่มร้องเพลงชาติ ณัฐวุฒิลงไปนอนเกลือกกลิ้งและตะโกนกลบเพลงชาติขึ้นว่า "กูไม่เรียน กูจะกลับบ้าน" ทุกคนหันมามองและอมยิ้มตามๆกัน ดิฉันซึ่งยืนใกล้ณัฐวุฒิตลอดเวลารีบบอกว่า "ไม่เรียนก็ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเราไปแอบนั่งดูเพื่อนเรียนก็แล้วกันนะ" เมื่อถึงเวลาเดินแถวเข้าห้องเรียนณัฐวุฒิไม่ยอมเดินตามดิฉัน แต่กลับนอนเกลือกกลิ้งเอาเท้าทั้งสองข้าถีบดินไปพลางอยู่หน้าเสาธง ครูท่านใดมาชวนก็ไม่ยอมเข้าห้องเรียน ท้ายสุดดิฉันจึงจำใจยอมให้นั่งอยู่อย่างนั้นเพราะเด็กๆอีกสี่สิบกว่าคนอยู่ในห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว ดิฉันจึงต้องวิ่งเข้าวิ่งออกนอกห้องอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวเด็กจะหนีไปที่อื่น อากาศเริ่มร้อนขึ้น ดิฉันแอบหันไปมองดู ณัฐวุฒิเดินร้องไห้เสียงเบาๆเข้ามานั่งใต้ชายคาหน้าห้องเรียน ดิฉันแกล้งทำไม่สนใจแล้วชวนเด็กร้องเพลงและเล่นเกมกันต่อไป นักเรียนทุกคนหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนาน เมื่อถึงเวลาพักระหว่างคาบนพเดชกระซิบบอกดิฉันว่า"เดี๋ยวลูกจะพาเซฟมาเข้าห้องเองครับ" ดิฉันยิ้มให้นพเดชและพูดว่า"ดีมากครับลูก" เมื่อถึงเวลาเรียนดิฉันเริ่มบทเรียนใหม่ด้วยเพลง ดิฉันเห็นเซฟรีบวิ่งตามนพเดชเข้ามาอย่างกระมิดกระเมี้ยนพร้อมทั้งนั่งลงใกล้ๆนพเดช สิ่งที่ดิฉันเห็นต่อมาก็คือเด็กผู้ชายที่ชื่อเซฟลุกขึ้นร้องเพลงและเต้นรำอย่างสนุกสนานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันนั้น ดิฉันเห็นแล้วแอบขำในใจนี่ล่ะความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กปอหนึ่งห้องดิฉันล่ะ

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทางที่ครูเลือก


"เปิดเทอมใหม่นี้ใครอยากสอนชั้นไหนบ้างบอก ผ.อ.ได้นะ" เสียง ผ.อ.แว่วมาในโสตประสาทดิฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ดิฉันนิ่งคิดตรึกตรองในใจทุกระดับชั้นดิฉันสอนมาหมดแล้วตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 - ม.3 (ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา)ทุกระดับชั้นมีความยากง่ายที่แตกต่างกันไป แต่ระดับชั้นที่ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นใช้ความพยายามและใช้เวลามากที่สุดเพื่อที่จะทำให้เขาอ่านให้ออกเขียนให้ได้คือระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เสียง ผ.อ.สำทับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า "องุ่นอยากสอนคอมพิวเตอร์ต่อใช่ไหม" สองปีที่ผ่านมาทางโรงเรียนได้ให้ดิฉันสอนคอมพิวเตอร์เพราะดิฉันพอมีความสามารถอยู่บ้าง(ทั้งๆที่ดิฉันจบวิชาเอกภาษาไทย) ดิฉันนิ่งคิดอีกอึดใจแล้วตัดสินใจตอบ ผ.อ.ด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า "องุ่นขอสอน ป.1 ได้ไหมคะ เพราะอีกไม่กี่วันเราจะได้ครูใหม่แล้วน้องใหม่เดี๋ยวนี้ส่วนมากจะเก่งคอมฯ องุ่นขอลง ป.1 เพราะห้องป.1/4 ยังไม่มีครูสอน ได้ไหมคะ ผ.อ." ผ.อ.ยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีและตอบว่า"ถ้าเป็นความต้องการของลูกน้อง ผ.อ.ก็ไม่ขัดหรอกครับ" ลึกๆในใจไม่มีใครรู้หรอกว่าเพราะอะไรที่ดิฉันต้องเลือกในสิ่งที่ยาก ความไม่รู้ของนักเรียนถึง45 คน ที่ครูอย่างดิฉันต้องต่อสู้และนำพาเด็กๆเพื่อให้อ่านให้ออกเขียนให้ได้ ยิ่งเด็กในชนบทด้วยแล้ว นักเรียนชั้น ป.1 คือชั้นที่เพิ่งเริ่มอ่านและเริ่มเขียนจริงๆ จังๆ ทั้งหมดต่อไปนี้คือความในใจของแม่คนหนึ่งที่มีลูกเรียนไม่เก่งเท่าที่ควรแต่โชคดีลูกค่อนข้างรักดีมีมารยาทเรียบร้อยถึงแม้ลูกเรียนไม่เก่งแต่แม่ก็ภาคภูมิใจที่เดินไปทางไหนก็ตามคุณครูทุกท่านที่เจอแม่ก็ชมลูกให้แม่ฟังตลอดเวลาว่าลูกเป็นเด็กดีมาก วันนี้แม่คนนี้อยากสะสมบุญให้ลูก โดยการที่แม่พยายามทำอะไรที่ยากๆโดยเฉพาะการทำให้ลูกๆในห้องทั้งหมดของแม่อ่านออกและเขียนได้ทุกคนนั่นคือความหวังอันสูงสุดของแม่คนนี้